มัทเธียส ซามเมอร์
นักเตะสัญชาติ เยอรมนี
ประวัตินักเตะ
กเตะฉายาเจ้าชายผมแดงผู้นี้ เกิดเมื่อปี ค.ศ.1967 เขาแจ้งเกิดขึ้นมาครั้งแรกในการเล่นให้ดินาโม เดรสเดน ทีมจากเยอรมันตะวันออก ในตำแหน่งกองกลาง ซึ่งก็เป็นนักเตะตัวหลักของทีม จนกระทั่งเยอรมันทำการรวมชาติระหว่างตะวันออกและตกเข้าด้วยกัน จากการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน ซามเมอร์ก็เป็นนักเตะคนแรกๆของยุคนั้นที่ได้รับการเซ็นสัญญาเข้าเล่นกับทีมสโมสรในเยอรมันตะวันตก หรือบุนเดสลีกานั่นเอง และทีมที่ได้ตัวของซามเมอร์ไปก็คือ เจ้าม้าขาว สตุ๊ดการ์ท ว่ากันว่าในช่วงที่นักเตะจากเยอรมันตะวันออกถูกเซ็นเข้าทีมจากบุนเดสลีกานั้น ซามเมอร์จัดเป็นตัวเลือกแรกๆที่ทีมในบุนเดสลีกาหมายปอง เดิมทีเลเวอร์คูเซ่นเกือบจะได้ตัวเขาไป แต่ทีมห้างยาก็ตัดสินใจไปเอาตัวอูล์ฟ เคียร์สเท่น แทน ดังนั้นม้าขาวจึงเป็นฝ่ายที่ได้ซามเมอร์ไป และเขาก็ได้ตอบแทนสตุ๊ดการ์ทอย่างคุ้มค่า และโชว์ฝีเท้าได้อย่างสุดยอด หรือจะบอกว่าเป็นการเซ็นคว้าตัวนักเตะครั้งสำคัญที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์สโมสรก็ว่า ได้ ด้วยการเป็นกำลังหลักพาทีมม้าขาวที่จัดว่าเป็นทีมม้ามืดในตอนนั้นคว้าแชมป์บุนดสลีกา มาครองในฤดูกาล 1992 อย่างพลิกความคาดหมาย จากผลงานกระเดื่องนี้ อินเตอร์มิลานจึงคว้าตัวเขามาร่วมทีมในฤดูกาลถัดมา ซึ่งซามเมอร์ก็ทำผลงานให้งูใหญ่ได้ไม่ดีเท่าไรนัก จนกระทั่งทีมเสือเหลืองดอร์ทมุนด์ซึ่งขณะนั้นได้เริ่มใช้นโยบายดึงนักเตะเยอรมันชื่อดังที่ออกไปคแข้งตางแดนให้กลับมา เพื่อสร้างทีมสำหรับโค่นล้มบาเยิร์นในตอนนั้น จึงได้ซื้อเขากลับมาในปีถัดไป และที่นี่เอง เขาได้กลายเป็นตำนานของทีมเสือเหลือง ด้วยการพาทีมเสือเหลืองขึ้นคว้าแชมป์บุนเดสลีกา 2 สมัยติด ในปี 95-97 เป็นการโค่นบัลลังก์ของเสือใต้ลง และยังพาเสือเหลืองตะลุยยุโรป ปะทะกับทีมชั้นแนวหน้ามากมายในเวลานั้น ซึ่งผลงานขั้นสูงสุดของทีมคือการเป็นคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพมาครองในฤดู กาล 96/97 อย่างชนิดช็อควงการ ด้วยการปราบยูเวนตุสลงในนัดชิง 3-1 เพราะในเวลานั้นยูเวนตุสจัดว่าเป็นสุดยอดทีมของยุโรปภายใต้การนำของมาเซโล่ ลิบปี้ ที่มีนักเตะที่กำลังฟอร์มพุ่งขึ้นมาอย่างเดลปิเอโร่ แต่หากจะว่าไปแล้ว ช่วงที่ทีมตะลุยยุโรปในช่วงสุดท้ายนั้น เขาประสบกับอาการบาดเจ็บจนต้องนั่งยาวเสียบ่อยๆ และหน้าที่การคุมแนวรับของทีมในช่วงนั้นก็ตกเป็นของโคห์เลอร์ และพอล แลมเบิร์ต กองกลางรับชาวสกอตที่รับหน้าที่การประกบซีดานจนกระดิกไม่ออกในนัดชิงกับยูเวนตุส โดยซามเมอร์แทบไม่ได้มีส่วนร่วมด้วย
สำหรับผลงานในทีมชาตินั้น ซามเมอร์ได้เข้าร่วมเล่นฟุตบอลโลกปี 94 ด้วย แต่ไม่ได้มีบทบาทสำคัญมากมายนัก จนกระทั่งในศึกยูโร 96 ที่ประเทศอังกฤษ เขาจึงได้สวมเสื้อเบอร์ 6 ลงเล่นในตำแหน่งลิเบอโร่ และกลายเป็นกำลังหลักที่พาทีมชาติเยอรมันขึ้นไปคว้าแชมป์ยูโรเป็นสมัยที่ 3 ได้สำเร็จ และส่งผลให้เขาคว้าตำแหน่งนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของยุโรปจากการลงคะแนนของผู้สื่อ ข่าวทั้งยุโรป หรือบัลลงดอร์ได้ในปี 96 และยังเป็นนักเตะชาวเยอรมันคนสุดท้ายที่ได้รับตำแหน่งนี้จนถึงปัจจุบัน โดยผลงานชิ้นสำคัญในรายการนี้ของเขาคือการเป็นผู้ทำประตูในรอบแรกและเป็นผู้สั่งการเกมรับ ที่ทำให้เยอรมันสามารถต้านทานอังกฤษในรอบรองชนะเลิศซึ่งฟอร์มแรงมากๆจากการนำของเชียรเรอร เชอริงแฮม และแกสคอยน์ไปได้ สไตล์การเล่นของซามเมอร์นั้น หลายคนว่ากันว่าเขามีส่วนละม้ายคล้ายกับเบคเคนบาวเออร์ในอดีตมาก ซึ่งนับแต่อดีจจนปัจจุบัน นักเตะลิเบอโร่แท้ๆที่แน่นทั้งรับ และ รุกนั้น มีเพียงไม่กี่คน ซามเมอร์ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในนั้น เขามีความสามารถในการบัญชาเกมรับอยู่ด้านหลังแนวรับ รวมถึงขึ้นมาเป็นตัวปัดกวาดและคุมจังหวะบอลอยู่หน้าแผงรับได้ ในขณะเดียวกัน จุดเด่นที่สุดที่สร้างชื่อให้เขากลายเป็นนักเตะระดับโลกนั้นก็คือการเติมขึ้นมาเล่นเกมรุกด้วยลีลาที่สง่างามและทรงประสิทธิภาพ เขาไม่ใช่นักเตะที่มีเทคนิคลีลาสุดยอดเหมือนพวกคลาสสิคในรุ่นเดียวกันเช่นบาจโจ ฮาจี้ สตอยคอฟ แต่เขามีเทคนิคการเล่นฟุตบอลกับเท้าที่แน่นอนและเปี่ยมประสิทธิภาพ เขาอาจไม่ได้มีฝีเท้าที่ดุดันและพลังช้างเหมือนมัทเธอุสที่เล่นในตำแหน่งเดียวกัน แต่ก็มีความเฉียบคมในจังหวะชี้เป็นชี้ตายที่สามารถตัดสินเกมได้เช่นกัน
หลังจากพาทีมเสือเหลืองคว้าแชมป์ยุโรป ซามเมอร์ก็ดูเหมือนจะมาถึงจุดสุดยอดในชีวิต เพราะหลังจากนั้นเขาก็ประสบปัญหาอาการบาดเจ็บมาตลอด ซึ่งปัญหาอาการบาดเจ็บที่เข่าของเขานั้นเรื้อรังจนต้องเลิกเล่นลงในปี 98
หลังจากนั้นเขาก็รับงานโค้ชให้ดอร์ทมุนด์ในช่วงที่สโมสรย่ำแย่ถึงขีดสุดเพราะปัญหากา รเงิน เขาก็ยังอุตส่าห์พาทีมคว้าแชมป์บุนเดสลีกาในปี 2002 ได้อย่างน่าทึ่ง และทำสถิติเป็นโค้ชอายุน้อยที่สุดที่พาทีมคว้าแชม์ในเวลานั้น
ในปี 2004 เขาเข้ามารับหน้าที่โค้ชให้ทีมสตุ๊ดการ์ท สโมสรแรกในบุนเดสลีกาที่ช่วยให้เขาแจ้งเกิด ก่อนจะออกไปให้อามิน เฟห์เข้ามาคุมต่อแทน